โรเมลู ลูกากู กองหน้าทีมชาติเบลเยียม ตัดสินใจย้ายออกจาก เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กลับไปเล่นใน กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี อีกครั้ง โดยคราวนี้เป็น โรม่า ที่ยืมตัวไปร่วมทีม ซึ่งการย้ายสังกัดครั้งนี้ ทำให้คำถามเกี่ยวกับความสำเร็จของเจ้าตัวในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ยังมีอยู่ต่อไป
ลูกากู ยิงประตูใน พรีเมียร์ลีก ไป 121 ลูก และได้รับการบันทึกสถิติว่า เป็นผู้ทำประตูสูงสุดในประวัติศาสตร์ อันดับที่ 20 แซงหน้าตำนานอย่าง ดไวต์ ยอร์ค อดีตหัวหอก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ นิโคลาส์ อเนลก้า อดีตกองหน้า อาร์เซนอล
นอกจากนี้ ดาวเตะวัย 30 ปี ยังมีค่าเฉลี่ยในแง่การทำประตูต่อเกมมากกว่า เวย์น รูนี่ย์, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และ เจอร์เมน เดโฟ ที่ตัวเลข 0.44 ประตูต่อเกม แต่นักวิจารณ์หลายคนแสดงความคิดเห็นว่า ลูกากู ไม่ประสบความสำเร็จกับการเล่นในอังกฤษ
ลูกากู ย้ายจาก อันเดอร์เลชท์ ในบ้านเกิดมาค้าแข้งกับ เชลซี เมื่อปี 2011 ด้วยค่าตัว 17 ล้านปอนด์ และตลอดซีซันแรกกับพลพรรค “สิงโตน้ำเงินคราม” เขาลงสนามไปรวมทุกรายการ 12 เกม ยิงไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2012-13 นั้น ลูกากู กลับโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจในการยืมตัวที่ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน โดยทำไป 17 ประตู ใน พรีเมียร์ลีก รวมถึงซัดแฮตทริคในเกมที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 5-5 ในนัดสุดท้ายของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในฐานะผู้จัดการทีม “ปีศาจแดง” อีกด้วย
มูลค่าของ ลูกากู เพิ่มขึ้นทันทีหลังย้ายจาก เชลซี ไปเล่นกับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยการยืมตัว 1 ซีซัน ก่อนย้ายขาดด้วยค่าตัว 28 ล้านปอนด์ ในปี 2014 ซึ่งถือเป็นสถิติของสโมสรในเวลานั้น โดยหัวหอกเบลเยียม ก็ตอบแทน “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ด้วยการซัดไป 68 ประตู จาก 141 เกม ในพรีเมียร์ลีก
หลังออกมาจากวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของ เอฟเวอร์ตัน ที่ขาดความทะเยอทะยาน และปฏิเสธที่จะต่อสัญญาฉบับใหม่ ลูกากู ก็เซ็นสัญญากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ เมื่อปี 2017 ด้วยค่าตัวสูงถึง 75 ล้านปอนด์
ฟอร์มอันร้อนแรงของ ลูกากู ยังคงดำเนินต่อไป หลังยิงไป 10 ประตู จาก 9 เกมแรกในทุกรายการให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมกับจบซีซันด้วยผลงาน 27 ประตู จาก 51 เกมรวมทุกรายการให้กับพลพรรค “ปีศาจแดง”
ในปีต่อมา ลูกากู ฟอร์มหลุดไปดื้อๆ หลังยิงได้เพียง 15 ประตู จาก 45 เกมรวมทุกรายการ และหลังจาก มูรินโญ่ โดนปลดจากตำแหน่งก่อนที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เข้ามาทำงานแทนนั้น เขาก็มืได้รับความเชื่อมั่นเหมือนเดิมอีกแล้ว
ในซัมเมอร์ปี 2019 อินเตอร์ มิลาน คว้าตัว ลูกากู มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 74 ล้านปอนด์ และถือว่าเป็นช่วงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาชีพค้าแข้งของเขาเลยก็ว่าได้ หลังจากซัดไปถึง 34 ประตู จาก 51 เกม ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับตำนานของสโมสรอย่าง โรนัลโด้
ลูกากู ยังคงทำผลงานสุดยอดกับ อินเตอร์ ในปีต่อมาด้วยการซัดไปถึง 30 ประตู จาก 44 เกม พร้อมกับคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ และถือเป็นแชมป์กัลโช เซเรีย อา ครั้งแรกในรอบ 11 ปี ของพลพรรค “งูใหญ่” อีกด้วย
จากผลงานที่ดีกับ อินเตอร์ ทำให้ เชลซี ทุ่มเงิน 97 ล้านปอนด์ คว้า ลูกากู กลับไปร่วมทีมอีกครั้ง โดยเวลานั้นเขากล่าวว่า “ผมมาที่นี่ตอนเป็นเด็กที่ต้องเรียนรู้มากมาย ตอนนี้ผมกลับมาพร้อมประสบการณ์มากมาย และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้หลังจาก ลูกากู ซัดไปเพียง 15 ประตู จาก 44 เกมรวมทุกรายการ รวมถึงยังมีปัญหากับ โธมัส ทูเคิล อดีตโค้ช เชลซี ซึ่งทำให้เขาต้องหวนไปเล่นกับ อินเตอร์ ด้วยสัญญายืมตัวอีกครั้ง
เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ลูกากู กลับมาจัดการอนาคตที่ เชลซี พร้อมกับได้รับการยืนยันว่า ไม่อยู่ในแผนการทำทีมของกุนซือคนใหม่อย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน อีกแล้ว ซึ่งทำให้เขาต้องเลือกย้ายมาเล่นกับ โรมา ที่มีอดีตเจ้านายอย่าง มูรินโญ คุมทีมอยู่
ตลอด 1 ฤดูกาลนับจากนี้ ลูกากู จะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่า ยังคงเป็นกองหน้าระดับท็อป และการได้ร่วมงานกับ มูรินโญ ก็อาจทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น ก่อนที่จะมองหาทางเลือกในอนาคตของตัวเองต่อไป