หากจะจัดอันดับประตูสุดสวยของทีมชาติไทยตลอดกาล หนึ่งในลูกยิงที่อยู่ในท็อปลิสต์คงหนีไม่พ้นลูกยิงฟรีคิกของ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ในเกมพบทีมชาติเกาหลีใต้ ในศึกเอเชียนเกมส์ 1998 แน่นอน
ลูกยิงดังกล่าวไม่ได้มีแค่เพียงความสวยงามจากการตะบันไกลเต็มข้อระยะกว่า 30 หลาเท่านั้น แต่ยังอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวมากมายในทุกวินาทีของเกมที่แสนจะกดดัน จนใครหลายคนถึงขั้นยกขึ้นหิ้งให้เป็น “ลูกยิงแห่งปาฏิหาริย์”
ลูกยิงลูกนี้มีความสำคัญอย่างไร และทำไมจึงได้รับการพูดถึงมานานหลายสิบปี Main Stand ขอชวนร่วมย้อนเวลาไปด้วยกัน
ปี ค.ศ. 1998 หรือ พ.ศ. 2541 เป็นเวลา 1 ปีที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เรียกกันว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 ถนนทุกสายเต็มไปด้วยผู้คนสีหน้าเคร่งเครียดที่ไม่รู้ว่าชีวิตวันรุ่งขึ้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
สิ่งเดียวที่พอจะช่วยเยียวยาจิตใจของผู้คนในเวลานั้นได้คือการร่วมติดตามและส่งเสียร์เชียร์ทัพนักกีฬาไทยในศึกเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ซึ่งกรุงเทพมหานครได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 6-20 ธันวาคม เอเชียนเกมส์ครั้งนี้นับเป็นสมัยที่ 4 ที่ประเทศไทยได้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าบ้าน แม้จะจัดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดี แต่ทุกฝ่ายยังได้พยายามร่วมมือร่วมใจกันจนผลักดันให้การแข่งขันถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมศักดิ์ศรี เพื่อหวังว่าจะช่วยสร้างรอยยิ้มและเติมกำลังใจเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศ แน่นอนว่ากีฬามหาชนอย่างฟุตบอลคือหนึ่งในรายการสำคัญที่ผู้คนต่างจับจ้อง
ฟุตบอลไทยในห้วงเวลานั้นกำลังอยู่ในยุคเฟื่องฟู ผลผลิตจากทัพนักเตะชุดดรีมทีมต่างทยอยตบเท้าขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญ พวกเขาคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาแล้ว 3 สมัยติด รวมถึงแชมป์อาเซียน หรือ ไทเกอร์ คัพ สมัยแรกในปี 1996 พร้อมมีสตาร์ระดับแม่เหล็กมากมายที่แฟนบอลเฝ้าคอยติดตาม ไม่ว่าจะเป็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, “อัลเฟรด” เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์, ดุสิต เฉลิมแสน, ตะวัน (ธชตวัน) ศรีปาน และอีกหลายราย
ทว่าก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์เพียง 3 เดือน ความสำเร็จที่สร้างขึ้นมาแทบจะพังทลายลงจากแมตช์ที่เป็นข้อครหาในศึกไทเกอร์คัพ ครั้งที่ 2 ปี 1998 ที่พบกับอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองฝั่งต่างไม่อยากเป็นผู้ชนะเพื่อเลี่ยงการเป็นแชมป์กลุ่มแล้วต้องเดินทางข้ามเมืองกว่า 1,500 กิโลเมตร จากโฮจิมินห์ไปฮานอย เพื่อเจอกับเจ้าภาพเวียดนามที่ยืนรออยู่ในรอบต่อไป ทำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ต้องเร่งหาทางกอบกู้ศรัทธาของแฟนบอลให้กลับคืนโดยเร็ว เพื่อให้สมศักดิ์ศรีการเป็นทีมอันดับ 43 ของโลก ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1998 หรือหลังจบศึกอาเซียนครั้งดังกล่าวเพียงไม่กี่วัน ด้วยการตัดสินใจแต่งตั้ง ปีเตอร์ วิธ กุนซือชาวอังกฤษ มารับหน้าที่เฮดโค้ชก่อนศึกเอเชียนเกมส์เพียง 1 เดือน
ทำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ต้องเร่งหาทางกอบกู้ศรัทธาของแฟนบอลให้กลับคืนโดยเร็ว เพื่อให้สมศักดิ์ศรีการเป็นทีมอันดับ 43 ของโลก ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1998 หรือหลังจบศึกอาเซียนครั้งดังกล่าวเพียงไม่กี่วัน ด้วยการตัดสินใจแต่งตั้ง ปีเตอร์ วิธ กุนซือชาวอังกฤษ มารับหน้าที่เฮดโค้ชก่อนศึกเอเชียนเกมส์เพียง 1 เดือน
อดีตศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษ โด่งดังสมัยยังค้าแข้งโดยเฉพาะการเป็นผู้ยิงประตูชัยพาทีมแอสตัน วิลล่า คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพมาแล้วเมื่อปี 1982 แต่ในบทบาทโค้ชเขาแทบจะไม่เคยได้พิสูจน์ฝีมือมาก่อนเลย ก่อนมาคุมทีมชาติไทยเจ้าตัวเพิ่งคุมทีมสโมสรเป็นครั้งแรกกับวิมเบิลดัน โดยทำผลงานชนะเพียงเกมเดียวจาก 13 เกมในลีก ก่อนจะถูกปลดจากตำแหน่งเพียง 105 วันหลังรับงาน
นอกจาก ปีเตอร์ วิธ แล้วทีมชาติไทยยังได้ดึง ธวัชชัย (วนัสธนา) สัจจกุล และ วิรัช ชาญพานิชย์ สองบุคคลผู้ก่อตั้งดรีมทีมกลับมาดูแลทีมอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม พร้อมเรียกนักเตะที่หลุดโผจากศึกไทเกอร์ คัพ อย่าง เกียรติศักดิ์, ตะวัน, ดุสิต และ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล เข้ามาติดธงร่วมกับ นที ทองสุขแก้ว, วรวุฒิ ศรีมะฆะ และ สุรชัย จตุรภัทรพงศ์
สถานการณ์ของทีมชาติไทยเวลานั้นจึงเรียกได้ว่าลูกผีลูกคนสุด ๆ และไม่มีใครคาดคิดว่าทีมชุดนี้จะทำผลงานเทียบประวัติศาสตร์รุ่นพี่ที่เคยคว้าอันดับ 4 ในเอเชียนเกมส์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1990 ได้อย่างแน่นอน
.
ฟุตบอลในศึกเอเชียนเกมส์ถือเป็นรายการที่ทุกชาติในทวีปให้ความสำคัญ เนื่องด้วยยุคนั้นยังไม่มีการจำกัดอายุ ทุกชาติจึงพยายามส่งผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดมาชิงชัย เปรียบเสมือนเป็นศึกชิงแชมป์เอเชียย่อม ๆ
ซึ่งเอเชียนเกมส์ 1998 ยังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเนื่องจาก อิหร่าน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ 3 ชาติที่ได้เป็นตัวแทนทวีปเอเชียไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสช่วงกลางปี ต่างพร้อมใจกันขนสตาร์ดังมาฟาดแข้งกันอย่างเต็มอิ่ม ขาดเพียง ซาอุดีอาระเบีย อีกหนึ่งชาติในฟุตบอลโลกที่ไม่ส่งนักกีฬาทุกประเภทมาแข่งขันในเอเชียนเกมส์ครั้งนี้
ขณะที่แฟนบอลไทยเองก็คึกคักกันทั่วประเทศ เพราะฝ่ายจัดได้กระจายการจัดการแข่งขันไปตามจังหวัดต่าง ๆ ถึง 9 สนาม ประกอบด้วย สนามราชมังคลากีฬาสถาน, สนามศุภชลาศัย, สนามสมโภช 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่, สนามติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา, สนามศรีนครลําดวน จังหวัดศรีสะเกษ, สนามสนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี, สนามกีฬากลางจังหวัดนครสวรรค์, สนามกีฬากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี และสนามกีฬากลางจังหวัดตรัง
ในรอบแรกมีทีมลงชิงชัยทั้งสิ้น 23 ทีม แบ่งเป็น 8 กลุ่ม (มีกลุ่มหนึ่งที่มี 2 ทีม) คัดอันดับ 1-2 ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป โดยทีมชาติไทย ลงเล่นที่สนามศุภชลาศัย อยู่ในกลุ่ม F ร่วมกับ โอมาน และ ฮ่องกง ซึ่งไม่ใช่งานที่เหลือบ่ากว่าแรง สามารถคว้ากำชัยได้สองนัดรวด เหนือฮ่องกง 5-0 และ โอมาน 2-0 ผ่านเข้ารอบไปได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่รอบสอง ทีมไทย โคจรไปอยู่กลุ่มที่ 4 ร่วมกับ กาตาร์, คาซัคสถาน และ เลบานอน คัดอันดับ 1-2 ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้าย โดยเปิดฉากมาสองเกมแรก ทีมไทยลงฟาดแข้งที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เก็บได้ 4 คะแนน จากการเสมอคาซัคสถาน 1-1 และชนะเลบานอน 1-0 รั้งตำแหน่งผู้นำร่วมกับคาซัคสถาน
แม้จะออกสตาร์ทไม่แย่แต่สถานการณ์ก่อนเกมสุดท้ายยังต้องลุ้นหนัก เนื่องจากคาซัคสถานมีคิวพบเลบานอนบ๊วยของกลุ่มที่แพ้รวด จึงขอแค่เสมอก็จะลอยลำทันที ส่วนไทยต้องเจอกับของแข็งอย่างกาตาร์ที่มี 3 คะแนน ซึ่งถ้าแพ้จะโดนแซง
แต่สุดท้ายเป็นคาซัคสถานที่พลิกล็อกแพ้ให้กับเลบานอน 0-3 ขณะที่ไทยพ่ายกาตาร์ 1-2 ทำให้กาตาร์มี 6 คะแนนแซงเป็นแชมป์กลุ่ม ส่วนไทยมีคะแนนเท่ากับคาซัคสถานแต่ผลต่างประตูได้เสียดีกว่า 1 ลูก ผ่านเข้ารอบในฐานะอันดับ 2 อย่างเฉียดฉิว
ณ เวลานั้นกระแสแฟนบอลทั่วประเทศต่างคึกคักกันอย่างมาก แม้ว่ารอบต่อไปทีมไทยจะต้องเผชิญหน้ากับยอดทีมอย่างเกาหลีใต้ เจ้าของ 3 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดงในรายการนี้ก็ตาม
ที่สำคัญนอกจากปี 1986 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ได้ในบ้านตัวเองแล้ว อีก 2 เหรียญทองที่ทำได้ในปี 1970 และ 1978 ล้วนเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย
ท่ามกลางแสดงแดดและอุณหภูมิร้อนระอุช่วงเวลาบ่าย 2 ของวันที่ 14 ธันวาคม 2541 แฟนบอลกว่า 6 หมื่นชีวิตจากทั่วทุกสารทิศพร้อมใจกันหลั่งไหลเข้าสู่ราชมังคลากีฬาสถาน สังเวียนฟาดแข้งศึกเอเชียนเกมส์ รอบ 8 ทีมสุดท้าย เพื่อเฝ้ารอขุนพลทีมชาติไทย ลงสนามปะทะ ทีมชาติเกาหลีใต้
เกาหลีใต้เพิ่งพลาดท่าตกรอบฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสมาหมาด ๆ ทัวร์นาเมนต์นี้จึงเปิดโอกาสให้แข้งดาวรุ่งหลายรายก้าวขึ้นมาผสมผสานกับทีมชุดใหญ่ ภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือคนใหม่ ฮู จุง-มู อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติที่ประสบความสำเร็จทั้งการเป็นผู้เล่นและผันตัวมาเป็นโค้ชระดับสโมสร
แม้จะไม่ได้ใช้นักเตะชุดที่ดีที่สุดมากรำศึก แต่ผู้เล่นทุกรายล้วนแต่มีประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพมากกว่านักเตะไทย ที่สำคัญหลายรายได้เคยไปสัมผัสประสบการณ์บนเวทีโลกมาแล้วทั้ง ชเว ยอง-ซู และ อี ดอง-กุ๊ก สองกองหน้าตัวความหวัง รวมถึง ยู ซัง-ชุล มิดฟิลด์ตัวเก่ง และคิม บุง-จี นายด่านมือ 1 ที่ลงเฝ้าเสาในฟุตบอลโลกตลอดรอบแรก
ขณะที่ทีมชาติไทยส่ง 11 ตัวจริง ประกอบด้วย ผู้รักษาประตู : ชัยยง ขำเปี่ยม, กองหลัง : ดุสิต เฉลิมแสน, สุรชัย จิระศิริโชติ, นที ทองสุขแก้ว, พัฒนพงษ์ ศรีปราโมช, กฤษดา เพี้ยนดิษฐ์, กองกลาง : ตะวัน ศรีปาน, สุรชัย จตุรภัทรพงศ์, เสนาะ โล่งสว่าง, กองหน้า : เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, วรวุฒิ ศรีมะฆะ
ทันทีที่เสียงนกหวีดดัง ทัพนักเตะไทยได้แสดงให้แฟนบอลได้เห็นว่าพวกเขาสามารถต่อกรกับยอดทีมระดับทวีปได้อย่างไม่เป็นรอง และสามารถยันเสมอไว้จนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0-0
สู้กันต่อครึ่งหลัง ไทยต้องเสียเปรียบตัวผู้เล่นตั้งแต่นาทีที่ 55 เมื่อ วรวุฒิ ศรีมะฆะ ไปชักศอกใส่คู่แข่งจากจังหวะต่อเนื่องที่โดนเบียดล้มลงจนโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม อย่างไรก็ตามแม้จะเหลือ 10 คน แต่ทีมไทยยังตั้งรับอย่างเหนียวแน่นก่อนที่ ปีเตอร์ วิธ จะส่ง ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ลงมาคุมแดนกลางแทน ตะวัน ศรีปาน ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย
ถัดมาอึดใจเดียวในนาที 81 สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ฉวยโอกาสเปิดฟรีคิกจากเกือบกลางสนาม บอลพุ่งเข้าเขตโทษและเป็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่วิ่งสอดขึ้นมาตวัดยิงด้วยซ้ายเสาแรกแบบไม่ต้องจับ บอลเสียบเสาไกลเข้าประตูให้ไทยสร้างเซอร์ไพรส์ขึ้นนำก่อน 1-0
หลังจากโดนนำเกาหลีใต้โหมบุกอย่างหนักจนทำให้ไทยปั่นป่วน ก่อนที่นาทีที่ 85 สุรชัย จิระศิริโชติ จะพุ่งเสียบตัดบอลอย่างหนักบริเวณหน้ากรอบเขตโทษจนโดนใบเหลืองที่ 2 ไล่ออกจากสนามไปอีกราย ทำให้ไทยต้องเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 9 คน ก่อนที่จังหวะฟรีคิกต่อเนื่อง ยู ซัง-ชุล กองกลางตัวเก่งจะยิงผ่านมือชัยยง ขำเปี่ยม เป็นประตูตีเสมอได้สำเร็จ 1-1
ช่วงเวลานั้นแฟนบอลบนอัฒจันทร์และกองเชียร์ที่เฝ้าอยู่หน้าจอทีวีต่างใจหล่นหายไปถึงตาตุ่ม และหลังจากตีเสมอได้ยังคงเป็นทัพโสมขาวที่บุกกระหน่ำต่อเนื่องแต่ไทยยังสามารถต้านไว้ได้จนจบ 90 นาที สกอร์เสมอกัน 1-1 ต้องสู้กันต่อในช่วงทดเวลาพิเศษเพื่อลุ้น “โกลเดนโกล” หรือใครยิงเข้าก่อนชนะเลย ไปจนถึงการดวลจุดโทษ
ผู้เล่นเป็นรองน้อยกว่าถึง 2 คน ในเกมที่พบกับยอดทีมที่เคยไปเล่นฟุตบอลโลกมาแล้ว แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นชาติที่มีความฟิตอันดับต้น ๆ ของทวีป มองมุมไหนก็ไร้วี่แววที่จะชนะได้ในช่วงเวลาที่เหลือ…
แม้จะเป็นรองทุกประตูแต่เสียงเชียร์ของแฟนบอลกว่า 6 หมื่นคนในสนามราชมังคลากีฬาสถานยังดังกึกก้อง วินาทีนั้นไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ นักเตะที่เขารักสามารถต่อกรกับบิ๊กทีมของเอเชียได้อย่างสูสี
หลังจากที่ ปีเตอร์ วิธ ติวเข้มลูกทีมเสร็จสรรพบริเวณข้างสนาม ขุนพลทีมชาติไทยทั้ง 9 คนก็พร้อมประจำตำแหน่งแดดเริ่มร่ม ลมเริ่มตก เกาหลีใต้เป็นฝ่ายเขี่ยบอลเริ่มและพับสนามขึงกดดันอยู่ฝ่ายเดียวเกือบ 5 นาทีเต็ม กระทั่งทีมชาติไทยตัดบอลได้แล้วสามารถพาบอลเลยครึ่งสนามมาได้เป็นครั้งแรกของช่วงต่อเวลา
เสนาะ โล่งสว่าง พยายามพาบอลตะลุยแหวกคู่แข่งก่อนโดนดึงเสื้อ ผู้ตัดสินเป่าฟาวล์ให้เป็นฟรีคิกบริเวณเกือบสุดริมเส้นฝั่งซ้ายห่างจากปากประตูกว่า 30 หลา ดุสิต เฉลิมแสน และ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ยืนอยู่ที่บอลด้วยกันทั้งคู่
ทุกสายตาของแฟนบอลจับจ้องไปที่ทั้งสองคน พลางคิดตามไปด้วยว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกับโอกาสแรกของทีมในครั้งนี้ ด้วยระยะทางที่ไกลและมุมที่แคบขนาดนี้จะยิงเข้าประตูในทีเดียวเป็นสิ่งที่ยากมาก จะโยนเข้าไปลุ้นในเขตโทษก็มีเพื่อนร่วมทีมอยู่ในกรอบแค่ 3 คน หรือจะเล่นสั้นเคาะบอลไปมาก็ไม่รู้จะครองบอลได้นานเท่าไหร่เพราะตัวผู้เล่นมีน้อยกว่า
ความคิดยังไม่ทันสะเด็ดน้ำดี ดุสิต ก็แตะบอลให้ ธวัชชัย วิ่งเข้ามาตะบันเต็มข้อด้วยหลังเท้า บอลพุ่งแหวกอากาศผ่านมือของนายด่านดีกรีฟุตบอลโลกเสยใต้คานเข้าไปอย่างไม่มีใครคาดคิด…
วินาทีนั้นโลกแทบจะหยุดหมุน แฟนบอลในสนามต่างกู่ร้องด้วยความสะใจอย่างบ้าคลั่ง นักเตะทุกคนวิ่งโผเข้ากอดกันอย่างลืมเหนื่อย ลูกยิงของธวัชชัยลูกนี้ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดให้เกิดขึ้น ไทย 9 คน ชนะ เกาหลีใต้ 2-1
ภาพรีเพลย์บนหน้าจอทีวีถูกฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่รู้ว่าจะอิ่มเอมไปกับสิ่งไหนมากกว่ากัน การผ่านเข้ารอบตัดเชือกได้อย่างปาฏิหาริย์ การล้มยอดทีมระดับทวีป หรือความสวยงามของลูกยิงไกลอันน่ามหัศจรรย์ที่ไม่มีใครคาดคิด
“ด้วยตัวผู้เล่นที่น้อยกว่าและรูปร่างที่เล็กกว่าถ้าเราโยนเข้าไปค่อนข้างจะทำประตูได้ลำบากแน่นอน แต่ถ้าเรายิงอัดเข้าไปด้วยความแรงเนี่ยมันอาจจะแฉลบหรือทำให้กองหลังสกัดลำบาก เลยเลือกที่จะยิงบอลอัดเข้าไป แล้วเป็นจังหวะที่บอลมันไปในทิศทางที่ดีและเป็นประตู”
“ถือเป็นวินาทีประวัติศาสตร์ ทุกคนวิ่งไปขอบคุณแฟนบอลรอบสนาม แฟนบอลก็ยืนปรบมือโห่ร้องด้วยความดีใจ มันเป็นภาพที่ประทับใจมากในชีวิตที่รับใช้ชาติ” กองกลางทีมชาติไทย ทิ้งท้าย
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วทีมชาติไทยที่ผ่านเข้ารอบไปได้จะต้องจอดป้ายในรอบรองชนะเลิศ ด้วยการแพ้ คูเวต 0-3 และแพ้จีนในรอบชิงเหรียญทองแดงด้วยสกอร์เดียวกันก็ตาม แต่ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ถูกบันทึกไว้เป็นบทหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยเป็นที่เรียบร้อยกับการคว้าอันดับ 4 เอเชียนเกมส์เป็นสมัยที่ 2 ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดของทีมชาติไทยจวบจบวันนี้
และลูกยิงสะท้านเอเชีย!! ของธวัชชัยลูกนี้ ยังถูกจารึกว่าเป็นลูกยิงในความทรงจำของแฟนบอลไทยไปอีกนานเท่านาน