จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ยืนยันด้วยตัวเอง ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ประจำปี 2030 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า จะเป็น เวิลด์ คัพ ฉบับพิเศษฉลองครบรอบ 100 ปี ซึ่งจะมีชาติที่มีส่วนร่วมได้เป็นเจ้าภาพถึง 6 ประเทศ ได้แก่เจ้าภาพหลัก สเปน, โปรตุเกส, โมร็อกโก และเจ้าภาพเฉพาะแมตช์เปิด อาร์เจนติน่า, อุรุกวัย และ ปารากวัย
แม้ ฟุตบอลโลก 2026 ที่จะจัดใน 3 ประเทศอเมริกาเหนือ อย่าง สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และ เม็กซิโก จะยังไม่ค่อยใกล้เคียงการมาถึง แต่ ฟีฟ่า ก็มองการณ์ไกลไปยัง ฟุตบอลโลก 2030 และ 2034 แล้ว
เป็นที่ยืนยันจาก อินฟานติโน่ เมื่อ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่า “ฟุตบอลโลก 2030” จะถูกจัดการแข่งขันรอบสุดท้ายกันแบบ “ทั่วโลก” ใน 3 ทวีปอย่าง ยุโรป, แอฟริกาเหนือ และ อเมริกาใต้ ด้วยวาระที่ ฟุตบอลโลก ครบ 100 ปีพอดี จากทัวร์นาเมนต์แรก 1930 ที่ประเทศอุรุกวัย
ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้เกมเปิดสนาม เวิลด์ คัพ 2030 จะมีขึ้นที่ อุรุกวัย อีกครั้ง ในขณะที่นัดชิงชนะเลิศ จะถูกจัดที่ สเปน
สำหรับเจ้าภาพอย่างเป็นทางการของ ฟุตบอลโลก 2030 จะถือว่ามีแค่ 3 ประเทศ คือ สเปน กับ โปรตุเกส และ โมร็อกโก เพราะทาง 3 ชาติอเมริกาใต้อย่าง อาร์เจนติน่า, อุรุกวัย, ปารากวัย จะรับหน้าเสื่อจัดเตะเฉพาะนัดแรกในบ้านตัวเอง ถือเป็นสิทธิพิเศษในการจัด “เกมเหย้า” สำหรับแมตช์แรกสุด แล้วถัดจากนั้นจะไปเล่นที่ สเปน, โปรตุเกส, โมร็อกโก ตลอดทัวร์นาเมนต์
การยืนยันลักษณะนี้ ทำให้เป็นการระบุไปในคราวเดียวกันว่า ฟุตบอลโลก 2030 ที่จะมีทีมเข้ารอบสุดท้าย 48 รายนั้น มีแล้ว 6 ทีมที่การันตีพื้นที่ในรอบสุดท้าย ซึ่งได้แก่ชาติเจ้าภาพทั้ง 3+3 นั่นเอง
ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่จัดขึ้นใน 3 ทวีป และนับเป็นหนแรกที่มีชาติเจ้าภาพมากกว่า 3 ประเทศ โดย โมร็อกโก กับ โปรตุเกส จะเป็นเจ้าภาพครั้งแรก
สำหรับ ฟุตบอลโลก 2034 รายงานระบุว่า น่าจะมาลงที่ทวีปเอเชียอีกครั้ง โดยมี ซาอุดีอาระเบีย เป็นตัวเต็ง หรืออาจบรรจบกับทางเลือกรองอย่าง โอเชียเนีย ที่ได้แก่ ออสเตรเลีย และ/หรือ นิวซีแลนด์
อย่างไรก็ตาม การประกาศยืนยันเป็นทางการอีกครั้งถึงชาติเจ้าภาพและรายละเอียดเพิ่มเติมของ ฟุตบอลโลก 2030 จะมีขึ้นระหว่างพิธีการลงคะแนนเสียงของสมาชิกฟีฟ่า 211 ชาติ ในการประชุมที่กรุงเทพฯ ช่วงปีหน้า